กยศ. ตอบคำถามกรณีหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาท พร้อมเผยวิธีแก้ไข-ทางออกที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
จากกรณีที่ชาวเน็ตมีการแชร์ภาพจาก กยศ. ถึงนายจ้าง แจ้งหักเงินเพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนจากผู้ค้างชำระหนี้ โดยจะหักเพิ่มรายละ 3,000 บาท สำหรับผู้กู้ยืมที่มีสถานะค้างชำระ โดยมีผลตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 เป็นต้นไป สร้างความกังวลให้กับผู้กู้จำนวนไม่น้อย
ซึ่งทาง กยศ. ก็ได้รวบรวมคำถามเกี่ยวกับกรณี กองทุน ฯ เพิ่มจำนวนหักเงินเดือนบัญชีละ 3,000 บาท (สำหรับผู้กู้ยืม) โดยมีรายละเอียดดังนี้
คำถาม : ถูกหักเงินเดือนทุกเดือน ทำไมมียอดค้างชำระ?
คำตอบ : ยอดค้างชำระหนี้ของผู้กู้ยืมอาจเกิดจาก
- มียอดค้างชำระหนี้ก่อนการหักเงินเดือน
- ในระหว่างการแจ้งหักเงินเดือน ท่านมีการขอปรับลดจำนวนการหักเงิน แล้วผู้กู้ยืมไม่ได้ไปชำระส่วนต่างในวันที่ 5 กรกฎาคมของงวดปีนั้น ๆ
ผู้กู้ยืมสามารถตรวจสอบข้อมูลการค้างชำระหนี้ได้ด้วยตนเองผ่านทาง Mobile Application “กยศ. Connect”
คำถาม : ถ้าไม่ต้องการให้นายจ้างหักเงินตามที่กองทุนฯ แจ้งในเดือนนี้ ต้องทำอย่างไร?
คำตอบ : ผู้กู้ยืมสามารถเลือกปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งดังนี้:
1. ดำเนินการขอปรับโครงสร้างหนี้
- เพื่อลดจำนวนการผ่อนชำระต่อเดือน
- ขยายระยะเวลาการผ่อน
- ลดเบี้ยปรับให้ 100%
- ปลดผู้ค้ำประกัน
โดยกองทุนจะแจ้งจำนวนเงินการหักเงินเดือนตามยอดผ่อนชำระใหม่ ในเดือนถัดจากเดือนที่ผู้กู้ยืมได้ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว
เช่น ในกรณีที่ท่านทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ภายในเดือน เม.ย. 68 (กลุ่มข้าราชการที่ได้รับเงินเดือนจากกรมบัญชีกลาง ให้ดำเนินการภายในวันที่ 20 เมษายน 2568) กองทุนจะแจ้งยอดผ่อนชำระใหม่ในเดือน พ.ค. 68
ดังนั้น เดือน เม.ย. 68 ท่านจะถูกหักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาท เพียง 1 เดือนเท่านั้น
2. ชำระยอดหนี้ค้างให้เสร็จสิ้น หากผู้กู้ยืมชำระแล้ว ให้ผู้กู้ยืมเงินนำหลักฐานการชำระแจ้งต่อนายจ้าง แล้วให้นายจ้างลบยอดออก 3,000 บาท จากยอดหักเงินเดือนในเดือน เม.ย. 68 ได้
เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ กยศ.
การปรับโครงสร้างหนี้กับ กยศ. ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มก่อนฟ้องคดี, กลุ่มที่บอกเลิกสัญญาแล้วแต่ยังไม่ฟ้องคดี, กลุ่มที่ฟ้องคดีแล้วแต่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา, กลุ่มที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วแต่ยังไม่บังคับคดีและได้บังคับคดีไปแล้ว และกลุ่มอื่น ๆ ทั้งหมด
เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ มีดังนี้
- ผู้กู้ยืมจะต้องผ่อนชำระเงินคืนกองทุนเป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือน
- ผู้กู้ยืมต้องชำระภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี
- ในการชำระเงินงวดสุดท้าย ผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
- การคำนวณยอดหนี้ที่จะนำมาปรับโครงสร้างหนี้
กองทุนฯ จะนำรายการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกมาคำนวณใหม่ตามที่กฎหมายกำหนด
ในกรณีคำนวณยอดหนี้ใหม่แล้วไม่มียอดหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงเหลือ กองทุนฯจะปรับโครงสร้างหนี้ให้ผู้กู้ยืมและให้ส่วนลดเบี้ยปรับ 100% โดยถือว่าผู้กู้ยืมได้ชำระหนี้ปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว
สำหรับผู้กู้ยืมที่มียอดหนี้คงเหลือและอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ กองทุนฯจะนำรายการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินแต่ละรายนับแต่วันครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกมาคำนวณตัดชำระหนี้ใหม่ จากเดิมตัดเบี้ยปรับ ดอกเบี้ย และเงินต้น แต่เมื่อปรับโครงสร้างหนี้ใหม่จะตัดเงินต้น (เฉพาะส่วนที่ครบกำหนด) ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับตามลำดับ
- อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี และอัตราเบี้ยปรับ 0.5% ต่อปี
- ในส่วนของเบี้ยปรับทั้งหมด กองทุนฯจะพักแขวนไว้ เมื่อผู้กู้ได้ทำการชำระหนี้ปิดบัญชีจะได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ 100%
- เมื่อทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้วผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากสัญญาค้ำประกันเงินกู้ทันที
- ในกรณีที่ผู้กู้ยืมผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สะสมถึง 6 งวด หรือเมื่อผู้กู้ยืมมีงวดผ่อนชำระเหลือไม่ถึง 6 งวด หากผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด ให้ถือว่าสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สิ้นสุดลง กองทุนฯจะนำเบี้ยปรับที่ตั้งพักแขวนไว้กลับคืนมาเป็นทุนทรัพย์เพื่อดำเนินการฟ้องร้องหรือบังคับคดีกับผู้กู้ยืมต่อไป